|
basketball

PE
วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554
โรคกระเพาะอาหาร
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554
มาออกกำลัีงกายกันเถอะ!
การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่ออวัยวะทุกส่วนของร่างกายไม่ว่าจะเป็นระบบกล้ามเนื้อหัวใจหรือระบบไหลเวียนของโลหิต การออกกำลังกายทำให้ร่างกายของเราได้ผ่อนคลาย เนื่องจากมีสารที่จำเป็นบางอย่างหลั่งออกมา ทำให้รู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าอยากจะทำงานในวันนั้น สำหรับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนเลย การเริ่มต้นออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป การเลือกวิธีออกกำลังกายตามที่ตนเองถนัด จะทำให้อยากออกกำลังกาย อย่างน้อย ๆ แบ่งเวลาสำหรับออกกำลังกายประมาณ 15นาทีในตอนเช้าหรือถ้าไม่มีเวลาก็อาจจะ 15 นาทีในตอนเย็นเป็นอย่างน้อย
ประโยชน์ของการออกกำลังกาย |
ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง รูปร่างสวยได้สัดส่วน น้ำหนักก็จะอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน นอกจากนี้ยังทำให้สุขภาพจิตดี มีอารมณ์ดีไม่หงุดหงิดง่ายและสามารถประกอบกิจกรรมประจำวันได้เป็นอย่างดี สามารถป้องกันหรือควบคุมโรคภัยหรือโรคร้ายต่าง ๆ ได้ อย่างเช่น โรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของระบบหัวใจ ปอด หลอดเลือดและระบบการไหลเวียนของโลหิตให้เป็นไปอย่างปกติ
ก่อนออกกำลังกายควรวอร์มร่างกายก่อนเสมอ เพราะเนื่องจากร่างกายจะมีการปรับตัวก่อน อย่างน้อยก็ควรลองเดินอย่างช้า ๆ ก่อนสักประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้ร่างกายรู้สึกว่าร่างกายได้ทำงาน ในกรณีที่ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวอย่างเช่น โรคหัวใจโรคความดันโลหิตสูง ก่อนจะออกกำลังกายก็ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อน อย่างน้อยก็ควรจะตรวจร่างกายปีละ 1-2 ครั้ง ว่าร่างกายเรานี้สามารถที่จะออกกำลังกายได้มากน้อยเพียงไร และออกวิธีใดจึงจะเหมาะสมกับโรคของเรา
ขณะที่ออกกำลังกายทุกครั้ง ควรจะต้องคำนึงถึงหลักง่าย ๆ ดังนี้ ต้องทราบถึงอาการที่จะเกิดขึ้นขณะออกกำลังกายว่า เกิดอาการเหล่านี้จะต้องหยุดการออกกำลังกายทันที เพราะอาการเหล่านี้จะเป็นอาการที่เตือนให้เราทราบว่าเป็นอันตราย ได้แก่ อาการเหนื่อยมากผิดปกติหรือมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกด้านซ้าย หรือมีอาการเวียนศีรษะ เหงื่อออกมากผิดปกติ ซึ่งปกติบางคนนั้นออกกำลังกายเหงื่อไม่ออกคือออกซึม ๆ เมื่อเหงื่อออกมากกว่าทุกวันก็ถือว่าผิดปกตินอกจากนั้นอาจจะมีอาการจุกแน่นร้าวไปที่ไหล่และแขนด้านซ้ายหรือมีอาการใจสั่นหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม จะต้องหยุดออกกำลังกายทันที หลังออกกำลังกายนั้นไม่ควรอาบน้ำทันที ควรจะนั่งพักสักครู่ให้หายเหนื่อย อย่างน้อย 5-15นาที หากไม่มีเวลามา 5 -10 นาทีก็เพียงพอแล้ว เพื่อให้ระบบหัวใจและระบบการไหลเวียนของโลหิตสู่สภาวะปกติก่อน หลังจากนั้นค่อยทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามปกติต่อไป
แนวทางการปฏิบัติในการออกกำลังกาย |
สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยออกกำลังกายเลยแบ่งออกเป็น 2 จำพวก
กลุ่มที่ 1 คือกลุ่มที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว อย่างเช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคข้อเสื่อมกลุ่มนี้จะต้องอยู่ในการควบคุมและการดูแลของแพทย์ อาจจะให้แพทย์แนะนำว่าควรจะออกวิธีไหนจะถูกต้องตามโรคที่เราเป็นอยู่ หรือออกอย่างไร แค่ไหน ปริมาณเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอต่อเราในวันหนึ่ง ๆ
กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่ไม่มีโรคประจำตัวเลย อาจจะเป็นผู้ที่เคยกำลังกายมาบ้างแล้ว หรือไม่เคยออกเลย สำหรับในรายที่ออกกำลังกายมาบ้างแล้วก็ออกไปได้ตามปกติสำหรับผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายและไม่มีโรคประจำตัวก็สามารถที่จะเริ่มได้อย่างน้อยก็ประมาณ 5นาทีก่อนแล้วค่อย ๆ เพิ่มเป็น 10, 15, หรือ 20 นาทีหลังจากนั้นก็ประมาณตัวเองว่าสมควรจะออกกำลังกายขนาดไหนถึงจะเหนื่อย แล้วก็หยุด
สำหรับผู้สูงอายุนั้นในขั้นแรกต้องให้แพทย์ตรวจร่างกายก่อนทุกครั้งเพราะผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะมีโรคแทรกซ้อนอยู่แล้วหรืออาจจะมีโรคประจำตัวหลายอย่าง อย่างเช่น ข้อเสื่อม หัวเข่าเสื่อม ข้อเท่าเสื่อมอันนี้อันตรายมากถ้าเกิดผู้สูงอายุจะออกกำลังกายโดยพละการไม่ปรึกษาแพทย์ อาจจะทำให้เข่านั้นหรือข้อนั้นเสื่อมลงไปได้อีก ดังนั้นจึงควรจะตรวจสภาพร่างกายทั่ว ๆ ไปก่อนไม่ว่าจะตรวจคลื่นหัวใจ ตรวจเอ็กซเรย์ปอด วัดความดันหรือตรวจเลือด เพื่อจะตรวจดูว่ามีโรคหัวใจหรือโรคเบาหวานแทรกซ้อนอยู่ด้วยหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำว่าให้ออกกำลังกายแบบไหน หรือมากน้อยเพียงไร ผู้ป่วยที่เป็นโรเบาหวาน โรคหัวใจหรือผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องข้อเข่าเสื่อมนี้ควรจะระมัดระวังมากเป็นพิเศษในการออกกำลังกาย ข้อสำคัญที่สุดไม่ควรออกกำลังกายอย่างหนักหรือหักโหม หรือนานเกินไป ออกกำลังกายไม่น้อยกว่า 15 นาทีในแต่ละวัน สำหรับในรายที่ผู้ป่วยสูงอายุมีโรคแทรกซ้อนอยู่ด้วย หากผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวานเมื่อมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกเวียนศีรษะ หรือมีอาการหายใจหอบมากผิดปกติให้หยุดออกกำลังกายทันทีเพราะนั่นเป็นสัญญาณเตือนบอกให้ทราบว่าหัวใจเริ่มทำงานหนักแล้ว อาจจะเป็นอันตรายได้ สำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องข้อเข่าเสื่อม อริยาบทที่ควรหลีกเลี่ยงในแต่ละวันที่ใช้เป็นประจำ เช่น นั่งพับเพียบ นั่งยอง ๆ หรือนั่งเข่าพับ นั่งขัดสมาธิเวลาที่เราสวดมนต์หรือไปวัด หรือไหว้พระ อริยาบทเหล่านี้จะทำให้ข้อเข่าของผู้ป่วยเสื่อมได้ง่ายขึ้นควรจะหลีกเลี่ยงในการยืนหรือเดินนาน ๆ หรือขึ้นบันไดบ่อย ๆ เพื่อให้ข้อเข่านี้แข็งแรงและไม่เสื่อมง่าย |
การออกกำลังกายที่เหมาะสม สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรือโรคหัวใจ หรือโรคหัวข้อเข่าเสื่อม ควรจะออกกำลังกายท่าเบา ๆ ไม่ควรจะนานหรือหักโหมจนเกินไป ออกกำลังกายในแต่ละครั้งก็ประมาณ 5-15 นาทีเป็นอย่างน้อยในแต่ละวัน หากรู้สึกว่าออกกำลังกาย 10 นาที แล้วรู้สึกเหนื่อยก็ให้หยุดทันที วิธีการที่จะแนะนำให้ 2 วิธีดังนี้ |
วิธีที่แรก คือการเหยียดขา ให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวานนั่งตัวตรงก้นชิดพนักเก้าอี้และให้นั่งห้อยขาสองข้างลง เหยียดขาขึ้นที่ละข้างจนเข่าเหยียดตรง พร้อมกับกระดกปลายเท้าขึ้น ทำสลับซ้ายขวา สลับกันนับ 1 ถึง 3 แล้วก็วาง จะเป็นท่าที่ดีที่สุดสำหรับผู้สูงอายุ คือไม่ต้องยืนไม่ต้องเหนื่อยและเข่าก็ไม่เสื่อมด้วย วิธีที่สอง การงอเข่าขึ้นด้านหลัง วิธีนี้ผู้สูงอายุนั้นสามารถยืนได้ ให้ผู้สูงอายุเกาะขอบโต๊ะไว้ แล้วก็ยืนตัวตรง แต่ให้งอขาขึ้นไปทางด้านหลังทีละข้างจนสุดแล้วก็วางลง ทำซ้ายขวาสลับกัน วิธีนี้จะเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้สูงอายุที่มีข้อเข่าเสื่อม จะรักษาข้อเข่านั้นไม่ให้เสื่อมมากยิ่งขึ้น สำหรับคนที่ร่างกายปกติและอยากจะออกกำลังกาย คือไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนเริ่มที่จะออกกำลังกายก็ต้องปฏิบัติอย่างค่อยเป็นค่อยไป ควรเลือกวิธีการออกกำลังกายที่ตนเองชอบและถนัด เช่น ชอบเล่นแบดมินตันในการออกกำลังกายก็ต้องเริ่มเหมือนคนอื่นทั่ว ๆ ไป ในคนป่วยนั้นอาจจะเริ่มแค่ 5 นาที แต่เราอาจจะ 15 นาทีก่อนก็ได้ หากเรารู้สึกว่ายังคงออกกำลังกายต่อไปไหวจาก 15 ก็เป็น 20 หรือเป็น 30 นาทีก็ได้เป็นอย่างน้อย หากเหนื่อยก็พักได้ถึงแม้ว่าร่างกายจะปกติเราสามารถที่จะจับชีพจรของเราได้ไปหาแพทย์หรืออาจจะเป็นพยาบาลก็ได้ให้เขาสอนวิธีการจับชีพจร เมื่อชีพจรเกินร้อยกว่าขึ้นไปใน 1 นาทีก็เป็นการแสดงให้รู้ว่าเหนื่อยแล้ว ต้องออกกำลังกายให้ช้าลงโดยไม่หักโหมมากนัก จะทำให้เป็นลมหรือหมดสติไปได้ |
วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ภูมิปัญญาไทย
ภูมิปัญญาไทย ตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Wisdom หมายถึง ความรู้ความสามารถ วิธีการผลงานที่คนไทยได้ค้นคว้า รวบรวม และจัดเป็นความรู้ ถ่ายทอด ปรับปรุง จากคนรุ่นหนึ่งมาสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง จนเกิดผลิตผลที่ดี งดงาม มีคุณค่า มีประโยชน์ สามารถนำมาแก้ปัญหาและพัฒนาวิถีชีวิตได้แต่ละหมู่บ้าน แต่ละชุมชนไทย ล้วนมีการทำมาหากินที่สอดคล้องกับภูมิประเทศ มีผู้นำที่มีความรู้ มีฝีมือทางช่าง สามารถคิดประดิษฐ์ ตัดสินใจแก้ปัญหาของชาวบ้านได้ ผู้นำเหล่านี้ เรียกว่า ปราชญ์ชาวบ้าน หรือผู้ทรงภูมิปัญญาไทย
ลักษณะของภูมิปัญญาไทย
- ภูมิปัญญาไทยมีลักษณะเป็นทั้งความรู้ ทักษะ ความเชื่อ และพฤติกรรม
- ภูมิปัญญาไทยแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
- ภูมิปัญญาไทยเป็นองค์รวมหรือกิจกรรมทุกอย่างในวิถีชีวิตของคน
- ภูมิปัญญาไทยเป็นเรื่องของการแก้ปัญหา การจัดการ การปรับตัว และการเรียนรู้ เพื่อความอยู่รอดของบุคคล ชุมชน และสังคม
- ภูมิปัญญาไทยเป็นพื้นฐานสำคัญในการมองชีวิต เป็นพื้นฐานความรู้ในเรื่องต่างๆ
- ภูมิปัญญาไทยมีลักษณะเฉพาะ หรือมีเอกลักษณ์ในตัวเอง
- ภูมิปัญญาไทยมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปรับสมดุลในพัฒนาการทางสังคม
ภูมิปัญญาไทยสามารถจัดแบ่งได้กี่สาขา
จากการศึกษาพบว่า มีการกำหนดสาขาภูมิปัญญาไทยไว้อย่างหลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และหลัก เกณฑ์ต่างๆ ที่หน่วยงาน องค์กร และนักวิชาการแต่ละท่านนำมากำหนด ในภาพรวมภูมิปัญญาไทยสามารถแบ่งได้เป็น 10 สาขาดังนี้
- 1. สาขาเกษตรกรรม หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะ และเทคนิคด้านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพื้นฐานคุณค่าดั้งเดิม ซึ่งคนสามารถพึ่งพาตนเองในภาวการณ์ต่างๆ ได้
- 2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการแปรรูปผลิตผล เพื่อชะลอการนำเข้าตลาด เพื่อแก้ปัญหาด้านการบริโภคอย่างปลอดภัย ประหยัด และเป็นธรรม อันเป็นกระบวนการที่ทำให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได้
- 3. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการป้องกันและรักษาสุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองทางด้านสุขภาพและอนามัยได้
- 4. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง ความสามารถเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งการอนุรักษ์ การพัฒนา และการใช้ประโยชน์จากคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและ ยั่งยืน
- 5. สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการด้านการสะสมและบริการกองทุน และธุรกิจในชุมชน ทั้งที่เป็นเงินตราและโภคทรัพย์ เพื่อส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในชุม
- 6. สาขาสวัสดิการ หมายถึง ความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิตของคน ให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
- 7. สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางด้านศิลปะสาขาต่างๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ คีตศิลป์ ศิลปะมวยไทย เป็นต้น
- 8. สาขาการจัดการองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการดำเนินงานขององค์กรชุมชนต่างๆ ให้สามารถพัฒนา และบริหารองค์กรของตนเองได้ตามบทบาท และหน้าที่ขององค์การ เช่น การจัดการองค์กรของกลุ่มแม่บ้าน กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มประมงพื้นบ้าน เป็นต้น
- 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถผลิตผลงานเกี่ยวกับด้านภาษาทั้งภาษาถิ่น ภาษาโบราณ ภาษาไทยและการใช้ภาษา ตลอดทั้ง ด้านวรรณกรรมทุกประเภท เช่น การจัดทำสารานุกรมภาษาถิ่น การปริวรรต หนังสือโบราณ การฟื้นฟูการเรียนการสอนภาษาถิ่นของท้องถิ่นต่างๆ เป็นต้น
- 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยุกต์และปรับใช้หลักธรรมคำสอนทางศาสนา ความเชื่อ และประเพณีดั้งเดิมที่มีคุณค่าให้เหมาะสมต่อการประพฤติปฏิบัติ ให้บังเกิดผลดีต่อบุคคลและสิ่งแวดล้อม
ความสำคัญของภูมิปัญญาไทยต่อการเสริมสร้างสุขภาพและการป้องกันโรคในชุมชน
ทุกๆชุมชนมีวิถีการดำรงชีวิตเป็นของตนเอง และมีสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ทำให้สมาชิกในชุมชนมีภูมิปัญญาที่แตกต่างกันออกไป โดยภูมิปัญญาเหล่านั้นได้ผ่านการลองผิดลองถูก และกลายมาเป็นภูมิปัญญาในการสร้างเสริมสุขภาพ เช่น การรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ หรือ การประคบสมุนไพรรักษาอาการปวดเมื่อยเป็นต้น ดังนั้นภูมิปัญญาไทยจึงมีความสำคัญต่อสุขภาพในเรื่องของการบำบัด บรรเทา รักษาอาการเจ็บป่วย การป้องกันโรค และการเสริมสร้างสุขภาพ แนวทางการใช้ภูมิปัญญาไทยเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคในชุมชน
การ แพทย์แผนไทย หมายถึง ปรัชญา องค์ความรู้ และวิถีปฏิบัติ เพื่อการดูแลสุขภาพ และการบำบัดรักษาโรค ความเจ็บป่วยของคนไทย แบบดั้งเดิม สอดคล้องกับขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมไทย และวิถีชีวิตคนไทย โดยวิธีการปฏิบัติของการแพทย์แผนไทย ประกอบด้วยการใช้สมุนไพร หัตถบำบัด การรักษากระดูกแบบดั้งเดิม การใช้พุทธศาสนา หรือพิธีกรรม เพื่อดูแลรักษาสุขภาพจิต ธรรมชาติบำบัด ซึ่งได้จากการสั่งสม ถ่ายทอดประสบการณ์อย่างเป็นระบบ โดยการบอกเล่า การสังเกต การบันทึก และการศึกษาผ่านสถาบันการศึกษาด้านการแพทย์แผนไทย ภูมิปัญญาในการแพทย์แผนไทย
การแพทย์แผนไทย เป็นการแพทย์แบบองค์รวม มีองค์ความรู้ ครอบคลุมการบำบัดรักษาโรคอย่างครบถ้วน คือ
- รู้การเกิดของโรค รู้สาเหตุของโรคจากปัจจัยต่างๆ
- รู้จักโรค ทราบถึงอาการโรค และชื่อสมมติของโรคตามอาการ
- รู้จักยารักษาโรค ทราบถึงสรรพคุณและวิธีปรุงยา
- รู้วิธีรักษาโรค ทราบว่ายาชนิดใด วิธีรักษาแบบใด เหมาะสำหรับโรคใดๆ
ความรู้ทั้ง 4 จึงเป็น หลักปฏิบัติในการวิเคราะห์ และบำบัดรักษาโรคของคนไทย ซึ่งก่อให้เกิดคุณค่าทางภูมิปัญญา ดังนี้
-ครอบคลุมองค์ความรู้อย่างครบถ้วน ทั้งการป้องกันโรค การวินิจฉัยโรค และบำบัดโรค
-มีความหลากหลายในด้านวิธีการป้องกัน และรักษาโรค
-มีศักยภาพในการเลือกสรรวัตถุดิบ ที่มีในธรรมชาติ จากท้องถิ่นใกล้ตัว มาใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค
-เป็นวิถีแห่งธรรมชาติบำบัด ก่อให้เกิดพิษน้อย อิงต่อสิ่งแวดล้อม
-พัฒนาเพื่อระบบการพึ่งตนเอง เนื่องจากใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น ไม่มีเทคนิคซับซ้อน ไม่สิ้นเปลือง
-ตั้งอยู่บนพื้นฐานวัฒนธรรมไทย ความเชื่อของคนไทย ให้ผลทั้งการรักษาร่างกาย และจิตใจ
การบำบัดโรคแผนไทย
การบำบัดโรคตามแพทย์แผนไทย มักใช้วิธีการหลายวิธี เพื่อให้ผลรักษาทั้งทางร่างกาย และจิตใจ เช่น การใช้ธรรมชาติบำบัด กายภาพบำบัด จิตบำบัด และการใช้ยา
การใช้สมุนไพร
มี การใช้สมุนไพรห่อด้วยผ้าเป็นลูก เรียกว่า ลูกประคบ นำลูกประคบไปนึ่งให้ร้อนแล้วนำมาประคบบริเวณที่มีอาการปวดเมื่อย เคล็ด ขัดยอกจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ซึ่งสมุนไพรที่ใช้ทำลูกประคบส่วนใหญ่นั้นจะมัน น้ำมันหอมระเหย เมื่อนึ่งให้ร้อนแล้วแล้วน้ำมันหอมระเหยซึ่งเป็นตัวยาจะออกมากับไอน้ำและ ความชื้น และเมื่อประคบตัวยาเหล่านั้นจะซึมเข้าผิวหนัง ช่วยรักษาอาการเคล็ด ขัดยอก ลดอาการบวมอักเสบของกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อต่อ นอกจากนี้ความร้อนจากลูกประคบยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้ตัวยาซึมผ่านผิวหนังได้ดีขึ้น อีกทั้งกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยยังช่วยให้คลายเครียด เกิดความสดชื่นอีกด้วย
การนวด
เป็น ภูมิปัญญาอันล้ำค่าในการรักษาโรค การสร้างเสริมสุขภาพร่างกายและจิตใจของคนไทย ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และจัดเป็นวัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนไทยที่แสดงถึงการดูแลสุขภาพกันภายในครอบรัวเช่น ภรรยานวดให้สามี ลูกนวดให้ปู่ย่าตายาย โดยอวัยวะต่างๆ เช่น ศอก เข่า เท้า นวดให้กัน อีกทั้งยังมีการพัฒนาโดยใช้อุปกรณ์ช่วยในการนวด เช่น ไม้กดท้อง นมสาว การนวดไทย แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ ได้แก่ การนวดแบบราชสำนัก และการนวดแบบเชลยศักดิ์ ประโยชน์ของการนวดไทยมีผลดีต่อสุขภาพในหลายๆด้าน เช่น การกระตุ้นระบบประสาท เพิ่มประสิทธิภาพของระบบทางเดินหายใจ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลือง ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ และผ่อนคลายความตึงเครียดทางจิตใจ
การบริหารร่างกาย
เป็น ภูมิปัญญาทางการแพทย์แผนไทยเกิดขึ้นจากการสิบทอดบอกเล่าต่อ ๆ กันมาของนักบวช นักพรต พระสงฆ์ หรือชาวพุทธที่นิยมนั่งสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งมีความแตกต่างกับท่าโยคะของอินเดีย โดยเป็นท่าที่ไม่ผาดโผน หรือฝืนร่างกายจนเกินไป บุคคลทั่วไปสามารถทำได้ และเมื่อปฏิบัติอย่างถูกต้องจะช่วยรักษาอาการปวดเมื่อย ช่วยให้การเคลื่อนไหวของแขน ขา หรือข้อต่อต่างๆ เป็นไปอย่างคล่องแคล่ว ทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดี สร้างสมาธิ ผ่อนคลายความเครียด และเพิ่มประสิทธิภาพของการหายใจ
การใช้พิธีกรรมความเชื่อ
สวด มนต์ และภาวนาเพื่อการรักษาโรค เป็นวิถีชีวิตและความเชื่อ ความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาของชาวไทยที่นิยมปฏิบัติสืบต่อกันมา จัดว่าเป็นภูมิปัญญาทางการแพทย์แผนไทยที่ช่วยสร้างเสริมสุขภาพได้เป็นอย่าง ดี โดยเฉพาะสุขภาพทางใจ เพราะการทำสมาธิสวดมนต์และภาวนาช่วยให้จิตใจที่สับสนและว่าวุ้นเกิดความสงบ มีความสุข ผ่อนคลายความเครียดมีสมาธิและเกิดปัญญา ในปัจจุบันมีการวิจัยทางการแพทย์พบว่า การสวดมนต์ ภาวนา และการทำสมาธิช่วยให้หัวใจทำงานหนักน้อยลง ส่งผลดีต่อปอด ระบบการหายใจ นอกจากนี้การนั่งสมาธินานๆ จะคลายความวิตกกังวล ร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างแท้จริง
ดังนั้นการแพทย์แผนไทย จึงเป็นกรรมวิธีทางภูมิปัญญา ที่ไม่มีทางสูญสิ้นไปอย่างแน่นอน มิใช่สิ่งเก่าใช้ไม่ได้ หรือพ้นสมัย แต่ยังเป็นนวัตกรรมทางความคิด และอิงธรรมชาติ วิถีคนไทย ที่ยังก้าวต่อไปในอนาคต เพื่อคนไทยตลอดกาลนาน
ดังนั้นการแพทย์แผนไทย จึงเป็นกรรมวิธีทางภูมิปัญญา ที่ไม่มีทางสูญสิ้นไปอย่างแน่นอน มิใช่สิ่งเก่าใช้ไม่ได้ หรือพ้นสมัย แต่ยังเป็นนวัตกรรมทางความคิด และอิงธรรมชาติ วิถีคนไทย ที่ยังก้าวต่อไปในอนาคต เพื่อคนไทยตลอดกาลนาน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)